ลิเวอร์พูล ทำผลงานสุดยอดเมื่อเก็บชัยชนะ 100 เปอร์เซนต์จากการเล่น 6 เกมลีกในฤดูกาลนี้ โดยล่าสุดบุกไปเฉือน “สิงโตน้ำเงินคราม”
เชลซี 2-1 ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เกมพรีเมียร์ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้พวกเขายังคงยึดตำแหน่งจ่าฝูงอย่างเหนียวแน่น

ก่อนหน้าเกมนี้ “หงส์แดง” เพิ่งจะโดนเผาเครื่องเมื่อออกไปเจอ นาโปลี สอนบอล 0-2 ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในแมตช์นี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีการปรับเปลี่ยนผู้เล่นนิดหน่อย โดยในแดนกลางใช้งาน จอร์จินโย่ ไวจ์ดัลดุม เป็นตัวจริง ขณะที่เกมรับ และสามแนวรุกยังคงหน้าเดิม
ต้องยอมรับว่าในครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ทำเกมได้เหนือกว่า และสมควรที่จะได้ประตูขึ้นนำ 2-0 แต่ก็มีจุดเปลี่ยน เมื่อ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ยิงประตูตีไข่แตก แต่ วีเออาร์ ปฏิเสธเพราะมีจังหวะล้ำหน้าของ เมสัน เมาน์ท ขณะที่ครึ่งหลังเจ้าบ้านโชว์ให้เห็นถึงพลังหนุ่มไล่บดขยี้จ่าฝูงจนเป๋ไปเป๋มา แต่สุดท้ายก็ประคองตัวเก็บ 3 แต้มกลับแอนฟิลด์ได้สำเร็จ
อาเดรียน 7
ยังคงวางฝากผีฝากไข้ในยามที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ยังไม่ฟิตเต็มร้อย โดยมีจังหวะการเซฟงามๆ หลายครั้ง ฟอร์มเฟอะฟะในช่วงต้นเกมไม่ค่อยมีแล้ว เพราะเจ้าตัวมีพัฒนาการขึ้นทุกแมตช์
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ 8
ฟอร์มยังคงสุดยอดสมดั่งใจของสาวก “เดอะ ค็อป” โดยเฉพาะความโดดเด่นในการเล่นเกมบุกขณะที่เกมรับอาจจะต้องมีการปรับปรุงบ้างแต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก ที่สำคัญยังยิงประตูสุดสวยให้ทีมขึ้นนำด้วย
โฌเเอล มาติป 8
ต้องยอมรับว่าตอนนี้ มาติป มีพัฒนาการที่ยอดเยี่ยมเหลือเกินและเหมาะที่จะเป็นคู่หูแนวรับกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่สุด โดยเวลาที่ทั้งคู่เล่นร่วมกับเกมรับของ “หงส์แดง” แกร่งยากจะเจาะเข้าไปทำประตู
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ 7
เล่นได้แข็งแกร่งตามมาตรฐานเหมือนเดิม อาจจะมีบางจังหวะที่พลาดอย่างการปล่อยให้ มิชี่ บาตชูอายี่ ได้โหม่งโล่งๆ ช่วงท้ายเกม แต่ตลอดทั้งเกมแทบไม่เห็นจังหวะผิดพลาด

แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน 7
หลังจากโดนเกรียนคีย์บอร์ดวิจารณ์ยับในเกมแพ้ นาโปลี กลางสัปดาห์ แมตช์นี้ โรเบิร์ตสัน แสดงให้เห็นว่าความคิดด้านลบทำอะไรสมาธิในการเล่นของเขาไม่ได้ โดยเจ้าตัวยังคงเป็นจอมแอสซิสต์ของทีมเมื่อเปิดฟรีคิกให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ โหม่งทำประตู ขณะที่เกมรับวันนี้ก็ยังคงเหนียวแน่น
จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม 6
พละกำลังและการเล่นที่ทุ่มเทยังคงเป็นจุดเด่นของดาวเตะเลือดดัตช์ โดย ไวจ์นัลดุม คอยช่วยประสานงานในแดนกลาง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก

ฟาบินโญ่ 7
ต้องยอมรับว่า ฟาบินโญ่ คือมดงานในแดนกลางของ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง ทั้งคอยคุมเกม, ผ่านบอลอย่างเฉียบคม และเข้าเสียบสกัดแม่นยำ แต่มีจุดให้ตำหนินิดเดียวคือจังหวะที่ทีมโดนตีไข่แตก เพราะเจ้าตัวดันไม่ยอมวิ่งตามเบียด เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ทำให้ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ ได้ลากบอลเข้าไปซัดประตู
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 6
พละกำลังและความมุ่งมั่นของ “กัปตันเฮนโ” ยังคงน่าชื่นชมเสมอโดยเจ้าตัวพยายามสู้แย่งบอลในทุกจังหวะ แต่สิ่งเดียวที่ต้องตำหนิคือการขาดคุณภาพในการเล่นบอลจังหวะสุดท้าย

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 6
ความรวดเร็ว และการเคลื่อนที่ของ ซาลาห์ ยังสามารถขู่แนวรับของ เชลซี ได้ แต่ครึ่งหลังไม่รู้เครื่องช็อตหรือเปล่าเพราะโดน ฟิคาโย่ โทโมรี จัดการซะอยู่หมัด แถมมีจังหวะหลุดไปทำประตูให้ทีมนำห่าง แต่ดันเลี้ยงไปโดน ก็องเต้ สกัดซะงั้น
โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ 7
นักเตะเชลซีโดยเฉพาะผู้เล่นเกมรับต้องเจอกับงานยากลำบากในการประกบ ฟีร์มีโน่ เห็นได้ชัดว่า “บ็อบบี้” มีการเคลื่อนที่หาตำแหน่งได้อย่างสุดยอด ดูได้จากจังหวะที่ได้ประตูที่สอง ตอนนี้ สตาร์บราซิเลียน เกี่ยวข้องกับ 17 ประตูจาก 21 เกมหลังสุดที่เขาลงเล่นในพรีเมียร์ลีก (11 ประตูกับ 6 แอสซิสต์)

ซาดิโอ มาเน่ 6
จี๊ดจ๊าดตามปกติและมีส่วนทำให้ทีมได้ฟรีคิกก่อนจะนำมาสู่ประตูขึ้นนำ อย่างไรก็ตามนักเตะดูเหมือนมีอาการเหนื่อยล้ากระนั้นสุดท้ายต้องโดนเปลี่ยนตัวในช่วง 20 นาทีสุดท้าย
ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม
เจมส์ มิลเนอร์ (แทน มาเน่ นาทีที่ 72) 5
ไม่สามารถหยุดการครองเกมของ เชลซี ได้ บางครั้งทำฟาวล์แบบไม่ค่อยจำเป็น สู้พลังหนุมของแข้ง “สิงห์บลูส์” ไม่ค่อยไหว
อดัม ลัลลาน่า (แทน เฮนเดอร์สัน นาทีที่ 83) –
มีเวลาอยู่ในสนามน้อยไปหน่อย แต่ที่เห็นๆ ก็คือทั้งช้า และขาดการเล่นไปนานทำให้ยังปะติดปะต่อฟอร์มไม่ค่อยได้
โจ โกเมซ (แทน ซาลาห์ นาทีที่ 90) –
สนับสนุนข่าวโดย UFA369
- ช่องทางการติดตามข่าวสาร คลิ๊ก–> mylinkinvitation.com